ทำไม สินทรัพย์ทางเลือก ถึงน่าสนใจ ในช่วงเงินเฟ้อสูง - BillionMoney

ณ ตอนนี้ ประเทศไทยกำลังประสบกับภาวะเงินเฟ้อสูง ในรอบหลายปี
โดยอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ได้ทะลุกรอบของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งตั้งไว้ที่ 3% มาตั้งแต่เริ่มต้นปี โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เงินเฟ้อได้พุ่งสูงไปถึง 7.66%

ซึ่งเงินเฟ้อที่พุ่งสูงนี้เอง ก็ทำให้นักลงทุนหลายคน ต้องปรับพอร์ตการลงทุน
เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

ปกติแล้ว เวลาเราจัดพอร์ตการลงทุน ก็จะเป็นการผสมกัน
ระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ อย่างหุ้นและพันธบัตรรัฐบาล
เพื่อให้ได้พอร์ตการลงทุน ที่มีผลตอบแทนสูงประมาณหนึ่ง แต่ไม่ผันผวนจนเกินไป

ทว่าในช่วงเงินเฟ้อสูงเช่นนี้ พันธบัตรรัฐบาล ที่เรานำมาใช้ลดความผันผวนของพอร์ต
กำลังกลายเป็นโทษ ให้กับพอร์ตการลงทุนของเราเสียเอง

อย่างแรก ด้วยความที่พันธบัตร เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนน้อย ทำให้มีผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ
จึงมีโอกาสสูงมาก ที่เงินเฟ้อจะกัดกินผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตร และด้อยค่าเงินลงทุนของเราลง

โดยผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปี ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า

เดือนเมษายน ผลตอบแทนเท่ากับ 2.7%
เดือนพฤษภาคม ผลตอบแทนเท่ากับ 2.9%
เดือนมิถุนายน ผลตอบแทนเท่ากับ 2.8%

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า อัตราเงินเฟ้อของไทย ไม่เคยต่ำกว่า 3% เลย ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ทำให้เมื่อคำนวณผลตอบแทนที่แท้จริง ด้วยการนำเอาผลตอบแทนดังกล่าว มาลบด้วยเงินเฟ้อ
ก็จะได้เป็นตัวเลขติดลบออกมา

ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในช่วงนี้ กำลังขาดทุนอยู่โดยไม่รู้ตัว

แต่ถ้าหากเราจะปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ก็อาจประสบกับการขาดทุนได้เช่นกัน
เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ
ก็ได้ทำให้ผู้คนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง อย่างเช่น หุ้นเติบโต (Growth Stock) และกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง

เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาที่เกิดเงินเฟ้อสูงเช่นนี้ ที่ทำให้เราตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะนำเงินลงทุนไปไว้ที่ใด
จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในการมองหา “สินทรัพย์ทางเลือก” สำหรับการลงทุน

นิยามของสินทรัพย์ทางเลือกนั้น ถ้าพูดอย่างง่าย ก็คือสินทรัพย์ที่ไม่ได้มีการซื้อขายทั่วไปเป็นวงกว้าง
อย่างเช่น หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม หรือประกันภัย ที่มีตลาดหรือนายหน้าซื้อขาย ที่เข้าถึงง่าย

แต่สินทรัพย์ทางเลือก จะเป็นสินทรัพย์ที่เข้าถึงได้ยากกว่า
และจะไม่เคลื่อนไหว ไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นมาก
เช่น ทอง น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นนอกตลาด (Private Equity)

ซึ่งการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางเลือกเหล่านี้เข้ามาในพอร์ต ก็จะช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตของเรา
เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า สินทรัพย์เหล่านี้มักจะไม่เคลื่อนไหว ไปตามตลาดหุ้น
ทำให้เวลาที่ตลาดหุ้นและพันธบัตรราคาตก ราคาสินทรัพย์ทางเลือกที่เพิ่มขึ้น
ก็จะช่วยให้ มูลค่าพอร์ตการลงทุนของเรา ไม่เสียมูลค่ามาก หรืออาจจะเป็นบวกได้เลย

สินทรัพย์ที่เรามักจะได้ยินว่ามีราคาสูง คือ ทองคำ
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เกิดเงินเฟ้อ จากต้นทุนของสินค้าอย่างน้ำมัน ที่มีราคาเพิ่มขึ้น เช่นในตอนนี้
เนื่องจากหลาย ๆ คน มองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ ที่สามารถรักษามูลค่าได้ดี
และเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจผันผวนเช่นนี้

และนอกจากทองคำแล้ว ยังมีอีกสินทรัพย์หนึ่งอันเป็นที่คุ้นเคยคือ
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือที่เรียกว่า รีท (REITs)
ซึ่งทำหน้าที่เก็บค่าเช่า จากอสังหาริมทรัพย์ที่บริหาร มาสู่มือของนักลงทุน

และด้วยความที่กองทุนรีท เป็นการเก็บค่าเช่า
จะทำให้กองทุนรีท มีข้อได้เปรียบด้านพันธบัตร ในเรื่องของการจ่ายกระแสเงินสด

เพราะว่าพันธบัตร จะจ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ถือ ตามอัตราที่ระบุไว้
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนั้น ส่วนใหญ่จะคงที่ จนกว่าจะหมดอายุ
ทำให้เมื่อเงินเฟ้อขึ้นสูง ดอกเบี้ยที่ถูกจ่ายให้เรา เมื่อหักกับเงินเฟ้อแล้ว ก็จะมีค่าน้อยลง

ไม่เหมือนกับกองทุนรีท ที่เงินปันผล จะมาจากการเก็บค่าเช่า
ซึ่งค่าเช่านั้น ก็สามารถปรับขึ้นหรือลง ตามสภาพเศรษฐกิจได้
ทำให้กระแสเงินสดของเรา ไม่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ

แล้วเราควรจะลงทุน ในสินทรัพย์ทางเลือก เป็นสัดส่วนเท่าไร ?

การจะกำหนดสัดส่วนของการลงทุนนั้น นอกจากผลตอบแทน ที่เพิ่มขึ้นแล้ว
เราต้องคำนึงถึงความเสี่ยง ที่จะตามมาด้วย

เนื่องจากสินทรัพย์ทางเลือก อย่างเช่น ทองคำก็เป็นสินทรัพย์ที่ค่อนข้างอ่อนไหว
เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง ที่ส่งผลกระทบต่อราคาของทองคำ

เช่น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่แข็งขึ้น ก็ทำให้ผู้คนที่มองว่า เงินดอลลาร์สหรัฐเป็น Safe Haven อีกตัวหนึ่ง
ได้ทำการขายทองคำ และเข้าไปถือเงินดอลลาร์สหรัฐแทน เป็นเหตุให้ราคาของทองคำ
ปรับตัวลดลง ตั้งแต่ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

ซึ่งถ้าหากจะพูดถึงตัวเลขสัดส่วนนั้น จากบทวิเคราะห์การลงทุน ในไตรมาสที่ 2 ของธนาคาร JPMorgan
ได้ลองคำนวณผลตอบแทน ของพอร์ตการลงทุน ในช่วง 32 ปีให้หลัง

พบว่า การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ประมาณ 30% ของพอร์ตการลงทุน
สามารถช่วยสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น แถมยังมีความเสี่ยงน้อยกว่า การถือแค่หุ้นและพันธบัตรอีกด้วย

ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ อีกเล็กน้อย
สำหรับบิตคอยน์นั้น แม้จะเข้ากับนิยามของสินทรัพย์ทางเลือก
เนื่องจากไม่ใช่ทั้งหุ้น และพันธบัตร

แต่ด้วยความที่บิตคอยน์ เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
กับดัชนีหุ้น NASDAQ ของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
ก็ได้ทำให้สถานะของบิตคอยน์ ในการเป็นสินทรัพย์ทางเลือก ยังคงไม่ชัดเจน

References
-https://tradingeconomics.com/thailand/inflation-cpi
-https://www.investing.com/rates-bonds/thailand-10-year-bond-yield-historical-data
-https://www.peerpower.co.th/blog/investor/alternative-investment/
-https://www.kgieworld.co.th/corporate/assets/base/pdf/wealth/KGIWMRSpecialReport_Deathof60-40portfolio-23Nov_23112020.pdf
-https://www.kgieworld.co.th/corporate/assets/base/pdf/wealth/KGIWMRSpecialreport_NavigatingTheDiametricDecadeAhead_23Jun22_23062022.pdf
-https://www.finnomena.com/channel/pocketmoney-ep42-goldprice/
-https://am.jpmorgan.com/content/dam/jpm-am-aem/global/en/insights/market-insights/guide-to-alternatives/mi-guide-to-alternatives.pdf
-https://thedefiant.io/bitcoin-stocks-correlation/