
Warren Buffett มีวิธีการหาบริษัทชั้นเยี่ยม อย่างไร ?
30 ธ.ค. 2022
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เป็นการลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีธุรกิจอันยอดเยี่ยม และมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
ซึ่งคุณ Warren Buffett สุดยอดนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ก็ใช้หลักการลงทุนนี้ มาตลอดชีวิต
แล้วรู้ไหมว่าคุณ Warren Buffett มีวิธีการประเมินธุรกิจ เพื่อหากิจการชั้นเลิศอย่างไร ถึงสามารถสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ ให้เขาได้
BillionMoney จะมาสรุป ให้เข้าใจแบบง่าย ๆ
หลักการในการตรวจสอบว่า บริษัทมีธุรกิจอันเยี่ยมยอดหรือไม่นั้น คุณ Mary Buffett อดีตลูกสะใภ้ของคุณ Warren Buffett เคยเล่าเอาไว้ในหนังสือ Buffettology ว่า
มีคำถามง่าย ๆ อยู่ 9 ข้อ ที่เราต้องถามตัวเองทุกครั้ง
ก่อนที่จะนำเงินไปลงทุนในบริษัทนั้น ได้แก่
ก่อนที่จะนำเงินไปลงทุนในบริษัทนั้น ได้แก่
1.สินค้าของบริษัท มีลักษณะเป็นสินค้าผูกขาดหรือไม่ โดยแบ่งออกเป็นข้อย่อย ๆ เช่น
-บริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร
-เรารู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นอย่างดีหรือไม่
-บริษัทมีแบรนด์ของสินค้าและบริการ ที่เป็นที่นิยมและครองใจลูกค้ามาอย่างเหนียวแน่นด้วยหรือไม่
การตรวจสอบนี้ มีเพื่อให้เราแน่ใจได้ว่า ธุรกิจของบริษัท จะไม่มีวันตกยุค และสามารถผูกขาดอยู่ในตลาด จนคู่แข่ง แทบไม่มีโอกาส ที่จะแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไปได้
2.รายได้และกำไรของบริษัท มีความแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างสม่ำเสมอหรือไม่
-รายได้และกำไรโดยรวมที่บริษัททำได้ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นหรือลดลง
-กำไรต่อหุ้น มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บริษัทที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจได้ดี จะสามารถขยายธุรกิจออกไป และสร้างกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว
ที่สำคัญ บริษัทควรต้องมีกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้เราสามารถคาดการณ์แนวโน้มของการดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น
3.บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงหรือไม่
-ตรวจสอบภาพรวม ปริมาณทรัพย์สิน หนี้สิน
และส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากหรือน้อย
และส่วนของเจ้าของ ว่ามีมากหรือน้อย
-ตรวจสอบ อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) เพื่อวัดสภาพคล่อง ในระยะสั้นของบริษัท
-ตรวจสอบ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt to Equity Ratio) เพื่อวัดความสามารถในการใช้จ่าย และการสร้างภาระผูกพันทางการเงิน ของบริษัทในระยะยาว
-ตรวจสอบหนี้สินระยะยาวต่อกำไรสุทธิของบริษัท
เพื่อให้รู้ว่า บริษัทต้องใช้เวลากี่ปี ถึงจะสามารถชำระคืนหนี้สินระยะยาวได้หมด จากกำไรที่บริษัททำได้
เพื่อให้รู้ว่า บริษัทต้องใช้เวลากี่ปี ถึงจะสามารถชำระคืนหนี้สินระยะยาวได้หมด จากกำไรที่บริษัททำได้
โดยหนี้สินระยะยาว ไม่ควรเกิน 5 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ
-ตรวจสอบ กระแสเงินสดอิสระ เพื่อให้เข้าใจ
สุขภาพการเงินของบริษัทในเชิงลึก
สุขภาพการเงินของบริษัทในเชิงลึก
ถ้าพบว่าบริษัทมีภาระหนี้ ทั้งระยะสั้น และระยะยาวน้อย
มีรายได้และกำไร ที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ก็ถือว่าบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
มีรายได้และกำไร ที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ก็ถือว่าบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
4.บริษัทมีผลตอบแทน เมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของ หรือ ROE และผลตอบแทน เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ ROA ในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอหรือไม่
การมี ROE และ ROA ที่สูงอย่างสม่ำเสมอ หมายถึง บริษัทสามารถใช้ประโยชน์ จากส่วนของผู้ถือหุ้น และสินทรัพย์ ได้เป็นอย่างดี
ธุรกิจที่มี ROE สูงกว่า 15% และ ROA สูงกว่า 7% อย่างสม่ำเสมอนั้น มักจะถือว่าเป็นธุรกิจที่มีความสามารถ ในการแข่งขันที่ยั่งยืนในระยะยาว และส่วนใหญ่แล้ว มักจะเป็นธุรกิจที่มีสินค้าผูกขาด
5.ธุรกิจสามารถรักษาผลกำไรที่ทำได้ ไว้เป็นกำไรสะสมได้หรือไม่
ในแต่ละปี ถ้าบริษัททำธุรกิจแล้วมีกำไร เราก็ต้องดูว่า เงินปันผลที่จ่ายคิดเป็นอัตราส่วนเท่าไรของกำไร และส่วนเกินที่เหลืออยู่นี้ บริษัทได้เก็บสะสมเอาไว้ หรือนำไปทำอะไรต่อ
หากที่ผ่านมา บริษัทสามารถเก็บกำไรสะสมมาได้
อย่างสม่ำเสมอ บริษัทก็จะมีเงินสดมากขึ้น
อย่างสม่ำเสมอ บริษัทก็จะมีเงินสดมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถนำกำไรสะสมไปใช้ขยายธุรกิจได้เลยทันที เมื่อเห็นโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจ โดยไม่จำเป็นต้องไปกู้เงินมาลงทุน
การที่บริษัทไม่จำเป็นต้องกู้เงินมาลงทุนนี้เอง ก็ยังทำให้ไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่าย จากดอกเบี้ยเงินกู้ อีกด้วย
6.ธุรกิจมีค่าใช้จ่าย ไปกับอะไรบ้าง
-บริษัทจะต้องใช้เงินลงทุนในแต่ละปี เพื่อรักษาความสามารถในการทำธุรกิจต่อไป มากหรือน้อยเพียงใด
-บริษัทจะต้องลงทุน เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาสูงหรือไม่
-บริษัทจะต้องลงทุนปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยอยู่ตลอด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต หรือเพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้หรือไม่
การที่ธุรกิจ มีต้นทุนสินค้าสูง จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำ
โดยอุตสาหกรรมที่หลายธุรกิจมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำนั้น ก็มักจะมีการแข่งขันกันด้านราคา ทำให้ไม่มีบริษัทใดที่มีแบรนด์ของสินค้าที่แข็งแกร่ง จนเป็นผู้กำหนดราคาเองในตลาดได้
ถ้าบริษัทมี งบในการวิจัยและพัฒนา และงบลงทุนเพื่อใช้ในการปรับปรุงโรงงาน อยู่ในระดับที่สูงมาโดยตลอด
วันหนึ่ง ถ้าบริษัทลดงบเหล่านี้ลง ก็มีโอกาสสูงมาก
ที่บริษัทจะสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันไป
และต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด ไปให้กับคู่แข่งเจ้าอื่น
ที่บริษัทจะสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันไป
และต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด ไปให้กับคู่แข่งเจ้าอื่น
7.บริษัทมีอิสระหรือไม่ เมื่อต้องตัดสินใจนำกำไรสะสม ไปใช้ลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีอนาคต เพื่อขยายกิจการเดิม หรือเพื่อซื้อหุ้นของบริษัทคืน และผู้บริหารมีความสามารถในการตัดสินใจเรื่องเหล่านี้ ได้ดีเพียงใด
-กำไรในแต่ละปีที่บริษัททำได้ และถูกสะสมไว้ ผู้บริหารมีแผนการจะนำเงินสะสมก้อนนี้ไปใช้ทำอะไรต่อไป
-ถ้าบริษัทเลือกที่จะนำกำไรสะสม ไปขยายกิจการเดิม หรือลงทุนสร้างธุรกิจใหม่เพิ่มเติม บริษัทมีแผนงานชัดเจน
และมีโอกาสที่แผนงานนี้จะประสบความสำเร็จ
รวมถึงสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน ได้มากน้อยแค่ไหน
และมีโอกาสที่แผนงานนี้จะประสบความสำเร็จ
รวมถึงสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน ได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าแผนงานของบริษัท มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ค่อนข้างต่ำ บริษัทก็สามารถนำเงินไปซื้อหุ้นคืน เพื่อทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อมูลค่าหุ้นของผู้ถือหุ้น ให้เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องตรวจสอบความสามารถในการบริหารกิจการของผู้บริหารว่า ที่ผ่านมา
มีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอย่างไร
มีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอย่างไร
8.บริษัทมีอิสระในการปรับราคาสินค้า ตามอัตราเงินเฟ้อหรือไม่
ในการทำธุรกิจ ก็จะต้องมีภาระค่าใช้จ่าย เช่น ค่าจ้างแรงงาน ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าปรับปรุงโรงงาน และค่าบำรุงเครื่องจักรเพื่อการผลิต
เมื่อเวลาผ่านไป เงินเฟ้อจะไปทำให้ต้นทุนเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น
บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าผูกขาด มักจะอยู่ในธุรกิจที่แข่งขันกันทางด้านราคา
ดังนั้น โอกาสที่จะปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้นตามเงินเฟ้อ ก็จะเป็นไปได้ยาก
เพราะถ้าบริษัทหนึ่ง ปรับราคาสินค้าสูงขึ้น ในขณะที่บริษัทเจ้าอื่น ๆ ในตลาดเลือกที่จะไม่ขึ้นราคาสินค้า
บริษัทที่ปรับราคาสินค้าขึ้นไป ก็จะเสียส่วนแบ่งทางการตลาดไป
ดังนั้น บริษัทที่มีแบรนด์ของสินค้าที่แข็งแกร่ง จะไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเฟ้อมาก เพราะเป็นสินค้าที่สามารถปรับราคาตามเงินเฟ้อได้เสมอ
9.มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นจากกำไรสะสม ส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาดของบริษัท เพิ่มขึ้นหรือไม่
ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท ซึ่งก็คือกำไร
ดังนั้น ในการลงทุนระยะยาว มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท
จะเป็นภาพสะท้อน ของผลประกอบการที่ดีของบริษัท
จะเป็นภาพสะท้อน ของผลประกอบการที่ดีของบริษัท
ยิ่งกำไรสะสมเพิ่มมากขึ้น และบริษัทนำกำไรที่ได้ไปใช้ในการขยายธุรกิจให้เติบโต
สุดท้ายเมื่อราคาหุ้นได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทออกมา ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นก็จะเพิ่มพูนขึ้น จากการถือหุ้นลงทุนในธุรกิจชั้นเลิศ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ
และทั้งหมดนี้ ก็คือ 9 คำถาม ที่เราต้องตอบตัวเองให้ได้ทุกครั้ง เวลาที่เราเจอบริษัทใดก็ตาม ที่เราอยากนำเงินไปลงทุน
ถ้าพบว่า เมื่อเราใช้ 9 คำถามนี้ มาประเมินเกี่ยวกับบริษัทนั้น
และได้คำตอบว่า “ใช่” ในทุกคำถาม
และได้คำตอบว่า “ใช่” ในทุกคำถาม
ก็ขอให้รู้เลยว่า เราได้เจอบริษัทที่มีธุรกิจชั้นยอด ที่เราสามารถลงทุนในระยะยาวได้แล้ว
แต่เราก็ต้องไม่ลืม ขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งก็คือการประเมินมูลค่าหุ้นว่า ราคา กำลังอยู่ในจุดที่มีความสมเหตุสมผลให้ซื้อ แล้วหรือไม่..
References
-Buffettology (1997) โดย Mary Buffett และ David Clark
-The New Buffettology (2002) โดย Mary Buffett และ David Clark
-Getting Started in Value Investing (2007) โดย Charles S. Mizrahi
-Gone Fishing with Buffett (2012) โดย Sean Seah
-Buffettology (1997) โดย Mary Buffett และ David Clark
-The New Buffettology (2002) โดย Mary Buffett และ David Clark
-Getting Started in Value Investing (2007) โดย Charles S. Mizrahi
-Gone Fishing with Buffett (2012) โดย Sean Seah