เก็บภาษีขายหุ้นแล้ว นักลงทุนจะต้องแบกต้นทุน เพิ่มขึ้นอีกเท่าไร ?

เก็บภาษีขายหุ้นแล้ว นักลงทุนจะต้องแบกต้นทุน เพิ่มขึ้นอีกเท่าไร ?

24 ม.ค. 2023
เก็บภาษีขายหุ้นแล้ว นักลงทุนจะต้องแบกต้นทุน เพิ่มขึ้นอีกเท่าไร ? - BillionMoney
ก่อนหน้านี้ มติคณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติการเก็บภาษีขายหุ้น ในอัตรา 0.10% หรือ 0.11% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่น
ส่งผลให้ในปีนี้ จะมีการเก็บภาษีก่อน ในอัตรา 0.055% เมื่อรวมภาษีท้องถิ่น และจะจัดเก็บภาษีในอัตรา 0.11% ในปีถัดไป
แล้วเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนอย่างไร
BillionMoney จะมาสรุป ให้ฟังแบบง่าย ๆ
ปัจจุบัน ถ้าเราขายหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท
ในกรณีที่ค่าธรรมเนียม 0.15% เมื่อบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม
เราก็จะมีค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 1,680 บาท
แต่หากมีการจัดเก็บภาษีขายหุ้น 0.055%
ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,229 บาท
ส่วนในปีถัดไปที่จัดเก็บภาษีขายหุ้น 0.11%
ค่าใช้จ่ายจะรวมเป็น 2,779 บาท
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า การเก็บภาษีขายหุ้นนี้ ส่งผลให้ต้นทุนการขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อย เพิ่มขึ้นกว่า 30% และจะเพิ่มขึ้นกว่า 60% ในปีถัดไป
แล้วเราในฐานะนักลงทุน ควรจะเตรียมตัวเพื่อรับมือกับการเก็บภาษีขายหุ้นนี้อย่างไร ?
สำหรับเรื่องนี้ คุณธนพร เจียรนัยกุลวานิช เจ้าของเพจ Stock JourNoey ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ Billion Insight ว่านักลงทุนจะต้องปรับตัวรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
โดยนักลงทุนระยะสั้น จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
ดังนั้นนักลงทุนกลุ่มนี้ จึงต้องหาจุดซื้อหรือขายให้ละเอียดมากขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้ อาจจะต้องอดทนถือหุ้นนานขึ้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น หรืออาจจะต้องลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น ไปลงทุนในกองทุนรวม หรือไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศแทน
ส่วน ผศ. ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ นายกสมาคม Thai Startup และ CEO iTAX มองว่า การที่รัฐจัดเก็บภาษีขายหุ้นมีทั้งผลดีและผลเสีย
ผลดี คือทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นทันทีเกือบ 8,000 ล้านบาท ในปีนี้ และ 16,000 ล้านบาท ในปีถัดไป
อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บภาษีขายหุ้นนี้ ก็มีผลเสียเช่นกัน
โดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO คาดการณ์ว่า
มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทย อาจจะลดลง 30-40% ในช่วงแรก
ซึ่งหากการปรับลดลงนี้ เป็นเพียงเหตุการณ์ระยะสั้น
และนักลงทุนกลับมาซื้อขายกันอย่างปกติในเวลาต่อมา
ก็จะไม่น่ากังวล
แต่หากนักลงทุนหันไปลงทุนประเทศอื่นแทน
ก็จะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ดังนั้นรัฐบาลต้องประเมินผลที่เกิดขึ้น
และปรับเปลี่ยนมาตรการให้เหมาะสม
เช่น ปรับลดอัตราภาษีที่จัดเก็บให้น้อยลง
หรือยกเว้นการจัดเก็บภาษีอีกครั้ง
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวถือเป็นอีกเรื่องใหญ่
ที่จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างภาษีในระยะยาว
โดยหากใครต้องการลงลึกในเรื่องนี้ สามารถไปติดตามความเห็นของ ผศ. ดร.ยุทธนา เพิ่มเติมได้ในงาน Future Maker Night ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 4 ก.พ. 2023 ที่โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย สยามพารากอน
นอกจากนี้ ทางด้านคุณชนันต์ ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน หรือ CMDF ยังบอกว่า การเก็บภาษีขายหุ้นมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาในหลายมิติ ประกอบกับรูปแบบภาษี อาจมีผลกระทบที่ซับซ้อนต่อตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย
โดยเราสามารถเรียนรู้ผลกระทบ จากการจัดเก็บภาษีขายหุ้น จากประสบการณ์ของตลาดทุนอื่นทั่วโลก
ยกตัวอย่างเช่น ประเทศอินเดีย ที่เรียกเก็บภาษีคล้ายกัน จนทำให้ประเทศมีรายได้จากภาษีที่เพิ่มขึ้น และมีผลกระทบต่อปริมาณการซื้อขายหุ้นค่อนข้างน้อย
ในขณะที่ ผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีขายหุ้นในประเทศสเปนคือ รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้น้อยลง และปริมาณการเทรดก็ลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ สำหรับอัตราภาษีขายหุ้นในประเทศอาเซียนนั้น
-ฟิลิปปินส์ เก็บภาษีที่ 0.6%
-อินโดนีเซีย, เวียดนาม, มาเลเซีย เก็บภาษีที่ 0.1%
-สิงคโปร์ ไม่มีการจัดเก็บภาษีเลย
อย่างไรก็ตาม ด้าน ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future Foundation) กล่าวว่า ตลาดทุนไทย ยังมีอุปสรรคที่ทำให้เข้าถึงได้อย่างไม่เท่าเทียม
รวมถึงกติกาที่ยังไม่ยืดหยุ่นพอที่จะสร้างความก้าวหน้า และเอื้อต่อการพัฒนา ทำให้ยังมีคนไทยจำนวนน้อยมากที่ได้ใช้โอกาสของตลาดทุน
ดังนั้นจะต้องส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความปลอดภัยในตลาดทุน รวมถึงแก้ไขความซับซ้อนเรื่องกฎระเบียบ และการกำกับดูแลตลาดทุน ให้สอดคล้องกับการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในอนาคต..
References
-https://www.youtube.com/watch?v=R6DK58T4NdI
-งานสัมมนา Improving Thailand’s Capital Market Competitiveness & Efficiency โดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทยและกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน
© 2023 BillionMoney. All rights reserved.