
ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย จะเป็นอย่างไร หลัง JD Central ถอนตัว ในมุมมองเซียนมี่
3 ก.พ. 2023
ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย จะเป็นอย่างไร หลัง JD Central ถอนตัว ในมุมมองเซียนมี่ - BillionMoney
ปีที่ผ่านมา ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย เติบโตมากถึง 14% จนมีมูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาท และภายในปี 2570 ก็คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า เป็น 1.6 ล้านล้านบาท
ท่ามกลางการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของตลาดอีคอมเมิร์ซนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด เจ้าของแพลตฟอร์ม JD Central กลับประกาศหยุดให้บริการในวันที่ 3 มีนาคม นี้
โดยเมื่อไม่กี่วันก่อน คุณมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์ ต้นแบบนักลงทุนหุ้นคุณค่า ก็ได้มาวิเคราะห์ให้ฟังว่า ทำไม JD Central ถึงต้องออกจากตลาดนี้ และอนาคตของตลาดอีคอมเมิร์ซไทย จะเป็นอย่างไรต่อไป
BillionMoney จะมาสรุปให้ฟัง แบบเข้าใจง่าย ๆ
คุณมี่ ได้แชร์ให้ฟังว่าช่วงที่ผ่านมา JD Central ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่าง Lazada และ Shopee ได้
โดยนับตั้งแต่ JD Central เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 2561
ทางบริษัทมียอดขาดทุนสะสมกว่า 6,000 ล้านบาท
ทางบริษัทมียอดขาดทุนสะสมกว่า 6,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ตัวเลขการเข้าใช้งานของ JD Central ก็น้อยกว่าคู่แข่งทั้งสองรายเป็นอย่างมาก
ช่วงไตรมาส 1 ปี 2565
-JD Central มีจำนวนการเข้าใช้งาน 2.08 ล้านครั้ง
-Lazada มีจำนวนการเข้าใช้งาน 36.8 ล้านครั้ง
-Shopee มีจำนวนการเข้าใช้งาน 56.9 ล้านครั้ง
อีกปัจจัยคือ ผู้ถือหุ้นของ JD Central อย่าง JD.com ต้องการถอนการลงทุน เพื่อกลับไปสู้ศึกในประเทศจีนที่มีการแข่งขันรุนแรง
โดย JD.com มีการถอนการลงทุนจากไทยและอินโดนีเซีย ที่ขาดทุนรวมกันแล้วกว่า 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทางด้านกลุ่มเซ็นทรัลเองก็อยากหันไปต่อยอดธุรกิจจากแพลตฟอร์มของตนเองมากกว่า
อนาคตผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยที่เหลือเพียงสองรายใหญ่
คุณมี่มองว่า การแข่งขันน่าจะรุนแรงน้อยลง เพราะเป้าหมายในการทำธุรกิจของทั้งสองรายที่เหลือ แตกต่างกัน
Shopee ต้องการพัฒนาขึ้นไปเป็นซูเปอร์แอป ให้บริการด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม นอกจากด้านค้าขายเพียงอย่างเดียว ทั้งบริการอีเพย์เมนต์ คลาวด์เซอร์วิส จองโรงแรม และเรียกรถ
ในขณะที่ Lazada มุ่งเน้นด้านการขายสินค้าต่อไป และถือเป็นเจ้าเดียวที่มีผลประกอบการมีกำไร ณ ตอนนี้
ส่วนกระแสการซื้อสินค้าออนไลน์ในปัจจุบัน แพลตฟอร์มที่น่าสนใจ คือ วิดีโอสั้น อย่าง TikTok ยกตัวอย่างตลาดอีคอมเมิร์ซจีนที่มีมูลค่า 13 ล้านล้านหยวน ซึ่งแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น มีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 8-9% จากก่อนหน้านี้ที่ไม่มีเลย
ส่วนพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของไทย น่าจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้น โดยมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญนับตั้งแต่โลกต้องเผชิญกับการล็อกดาวน์ ที่ทำให้เราหันมาชำระเงินผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้นิสัยของคนไทยส่วนใหญ่จะยังชอบไปเดินห้างสรรพสินค้าเป็นประจำ
แต่ด้วยราคาสินค้าที่ถูกกว่า และการจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น น่าจะทำให้คนหันมาซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยคาดว่าในอนาคต ยอดการใช้จ่ายผ่านตลาดอีคอมเมิร์ซ จะสูงถึง 20% จากยอดการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้บริโภค
ขณะที่การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ตัวไหนจะได้ประโยชน์จากตลาดอีคอมเมิร์ซ คุณมี่ให้ข้อสังเกตว่า จะต้องดูผู้บริหารเป็นสำคัญ หากเป็นคนรุ่นใหม่ ก็มักจะปรับตัวเก่ง
ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสินค้า หากมีพื้นฐานได้รับความนิยมอยู่แล้ว ก็จะประสบความสำเร็จในตลาดนี้ได้ง่าย..