Seth Klarman ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ฝาแฝด Warren Buffett

Seth Klarman ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ฝาแฝด Warren Buffett

22 เม.ย. 2024
- อายุ 10 ขวบ เริ่มซื้อหุ้นตัวแรก และได้กำไร 3 เท่าตัว
- อายุ 25 ปี เรียนจบ MBA จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เริ่มก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตัวเอง และบริหารเงินมากกว่า 960 ล้านบาท
- อายุ 34 ปี เขียนหนังสือด้านการลงทุนชื่อดังระดับตำนาน
“Margin of Safety: Risk-Averse Value Investing Strategies for the Thoughtful Investor” 
หนังสือเล่มนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนปัจจุบันไม่สามารถหาซื้อได้อีกแล้ว
เรื่องราวข้างต้นนี้ คือหนังชีวิตของคุณ Seth Klarman ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่ได้รับการยกย่องว่า มีหลักการลงทุนที่เหมือนกับ คุณ Warren Buffett ซึ่งเป็นนักลงทุนมือหนึ่งของโลก
ราวกับว่าทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกัน..
เวลาผ่านมา 40 กว่าปี นับตั้งแต่คุณ Klarman ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตัวเอง
ปัจจุบันสินทรัพย์ของกองทุนนี้ เพิ่มขึ้นจาก 960 ล้านบาท มาอยู่ที่ 980,000 ล้านบาท
คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ถึง 1,000 เท่า..
แล้วคุณ Klarman มีแนวคิดการลงทุนอย่างไร ถึงสามารถสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนได้มากขนาดนี้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
คุณ Seth Klarman เกิดในปี 1957 ที่เมืองบัลติมอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวชนชั้นกลางเชื้อสายยิวทั่วไป
ตั้งแต่วัยเด็ก คุณ Klarman ก็มีความหลงใหลในเรื่องของธุรกิจแล้ว โดยเขามักจะตกแต่งห้องนอนของเขาเป็นธีมร้านขายของชำ ซึ่งข้าวของทุกชิ้นในห้องนอน จะมีป้ายราคาสินค้าติดอยู่ทุกชิ้น
พออายุได้ 10 ขวบ เขามีโอกาสได้ซื้อหุ้นตัวแรก คือหุ้นของบริษัท Johnson & Johnson
การลงทุนครั้งแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เพราะเขาสามารถทำกำไรจากหุ้น Johnson & Johnson ได้มากถึง 3 เท่าของเงินลงทุน
ซึ่งเหตุผลในการลงทุนก็แสนเรียบง่าย เพราะคุณ Klarman ใช้ผ้าพันแผลของ Johnson & Johnson เป็นประจำ และพึงพอใจในคุณภาพสินค้า
ในช่วงชีวิตวัยเด็ก นอกจากจะลงทุนแล้ว คุณ Klarman ยังได้ทดลองทำธุรกิจขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอย่างควบคู่ไปด้วย
สำหรับจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เริ่มต้นขึ้นในปี 1982 เมื่อเขาเรียนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ หรือ MBA จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
เขาได้ร่วมหุ้นกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย คือคุณ Bill Poorvu และนักลงทุนคนอื่นอีก 3 คน ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์
กองทุนนี้มีเงินเริ่มต้นลงทุนประมาณ 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยในปัจจุบัน ประมาณ 960 ล้านบาท โดยเงินทุนส่วนใหญ่ เป็นเงินลงทุนจากอาจารย์ของเขา
และนี่เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน Baupost Group กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่สร้างความมั่งคั่ง และชื่อเสียงให้กับคุณ Seth Klarman
ในฐานะผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง..
แก่นการลงทุนของ Baupost Group คือ การมองหาหุ้นที่ซื้อขายกัน ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมาก ๆ
โดยหลักการลงทุนนี้ เรียกว่าการลงทุนแบบมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย หรือ Margin of Safety
คุณ Klarman เชื่อว่า เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดความเสี่ยงอะไรกับการลงทุนบ้าง
ดังนั้นการซื้อหุ้นด้วยวิธีนี้ จะทำให้พอร์ตการลงทุนของเราได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
หลายคนอาจจะคิดว่าการซื้อหุ้นแบบมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย เป็นการซื้อหุ้นราคาถูก แต่สำหรับคุณ Klarman มองว่า เราควรจะตอบคำถามก่อนที่จะลงทุนทุกครั้ง ให้ได้ว่า..
1. หุ้นตัวนี้มีราคาถูก เพราะพื้นฐานที่ไม่ดี หรือมาจากปัจจัยเชิงลบระยะสั้น
ก่อนจะซื้อหุ้น เราจะต้องวิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้หุ้นตัวนี้ราคาถูก ออกมาให้ได้
เช่น หุ้นตัวนี้กำลังเจอกับปัจจัยเชิงลบชั่วคราว ที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนมากเกินไป
แต่ความจริงแล้ว เมื่อเราไปเช็กดู กลับพบว่าปัจจัยเชิงลบดังกล่าวไม่ได้ส่งผลต่อการทำธุรกิจมากสักเท่าไรเลย
ราคาหุ้นที่ถูกอยู่ อาจจะเป็นโอกาสให้เราได้ซื้อหุ้นดีในราคาถูกก็ได้
ในทางกลับกัน ถ้าวิเคราะห์แล้วพบว่า หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นของบริษัทที่กำลังย่ำแย่ เราก็ไม่ควรเข้าไปซื้อหุ้น เพราะราคาหุ้นที่ต่ำ คือราคาที่ได้สะท้อนอนาคตของธุรกิจไปแล้ว
2. มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่จะทำให้ราคาหุ้นกลับไปซื้อขายในมูลค่าที่เหมาะสม
เมื่อเราวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้หุ้นซื้อขายกันในราคาถูกแล้ว เรายังต้องวิเคราะห์ด้วยว่า จะมีปัจจัยใดบ้างที่จะเป็นตัวเร่ง ให้ราคาหุ้นกลับไปสูงขึ้นได้
เช่น บริษัทกำลังมีแผนการปรับโครงสร้าง, เปลี่ยนผู้บริหารคนใหม่ หรือปัจจัยเชิงลบในระยะสั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม นอกจากหลักการซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมาก ๆ แล้ว คุณ Klarman ยังให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง โดยการถือหุ้นหลาย ๆ ตัวอีกด้วย
โดยคุณ Klarman มองว่า นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยง ด้วยการถือหุ้นประมาณ 10-15 ตัว
ซึ่งเราก็สามารถกระจายน้ำหนักในการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวแตกต่างกันไปได้ หากเรามั่นใจในหุ้นตัวไหนมาก ก็ให้น้ำหนักในการลงทุนกับหุ้นตัวนั้น เป็นสัดส่วนในพอร์ตมากกว่าหุ้นตัวอื่น
เช่น หุ้น 5 ตัวแรก ในพอร์ตการลงทุนของ Baupost Group มีน้ำหนักการลงทุนประมาณ 53% ของเงินลงทุนทั้งหมด
ในขณะที่หุ้นอีก 15 ตัวที่เหลือ มีน้ำหนักการลงทุนไม่ถึง 50%
เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ Klarman พบว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีมาก ๆ มักจะมาจากไอเดียการลงทุนที่ดีเพียงไม่กี่ครั้ง
ดังนั้นการลงทุนแบบมีนัยสำคัญในหุ้นบางตัว ที่เรามีความรู้ ความเข้าใจเป็นอย่างดี ก็จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก
อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าให้สรุปจุดร่วมที่มีเหมือนกันระหว่าง คุณ Seth Klarman และคุณ Warren Buffett ก็น่าจะเป็นเรื่องของการลงทุน
โดยการพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจ รวมถึงระยะเวลาการถือครองหุ้นที่ยาวนาน แบบเดียวกัน
แถมในบางช่วงเวลา คุณ Klarman เอง ก็เลือกเก็บเงินสดไว้มากกว่า 50% ของพอร์ตด้วย
เพราะเขามีกฎเหล็กว่า หากไม่มีการลงทุนที่น่าสนใจจริง ๆ เขาจะไม่นำเงินไปลงทุนเด็ดขาด
ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนกับแนวทางของ Berkshire Hathaway บริษัทของคุณ Warren Buffett ที่มีเงินสดล้นมือ ในยามที่ไม่มีดีลการลงทุนที่น่าสนใจ
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ คุณ Warren Buffett เริ่มต้นลงทุนในหุ้นตั้งแต่อายุ 11 ขวบ แต่คุณ Seth Klarman เริ่มต้นลงทุนในหุ้นตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
2 คนนี้อายุห่างกันหลายปี แต่จุดเริ่มต้นแทบไม่ต่างกันมากนัก
บางที ถ้าเราอยากให้ลูกหลานเราลงทุนเก่ง ๆ แบบนี้ อาจจะต้องลองให้เขาเริ่มออมเงินในหุ้นตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ดู
ไม่แน่ว่าเซียนหุ้นคนต่อไป อาจจะเป็นลูกหลานของเราในอนาคตก็ได้..
References:
© 2024 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.